ฉีดบาดทะยัก ปวดแขน

ฉีดบาดทะยัก ปวดแขน

ฉีดบาดทะยัก ปวดแขน โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร

โรคบาดทะยัก (Tetanus) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียจำพวกหนึ่งที่เรียกว่าคลอหญิงเดียมเททานี (Clostridium tetani) เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้พบทั้งโลก และประสบในดินเป็นพื้น ฉีดบาดทะยัก ปวดแขน แบคทีเรียนี้จะผลิตสารพิษที่นำมาซึ่งการทำให้ระบบประสาทเสียหาย กล้ามเนื้อที่บังคับการโดยเส้นประสาทจะแข็งเกร็งและชา หากไม่ได้รับการรักษาทันที โรคนี้อาจส่งผลให้ถึงตายเมื่อกล้ามรายละเอียดยใจสิ้นสุดดำเนินงาน ชนิดของโรคบาดทะยักมีทั้งจำพวกที่เกิดกับระบบร่างกาย เจาะจงรอบๆ และที่ประสบในเด็กแรกเกิด โรคบาดทะยักไม่ใช่โรคติดต่อ และปกป้องได้ด้วยการฉีดวัคซีน ฉีดบาดทะยัก ปวดแขน

โรคบาดทะยักกำเนิดขึ้นบ่อยเยอะแค่ไหน

โรคบาดทะยักนิยมจะกำเนิดในผู้คนที่มิได้ฉีดวัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศด้อยพัฒนา โดยมากแล้วเด็กทารกและคนหนุ่มสาวมีจังหวะที่จะเป็นโรคนี้มากยิ่งกว่า

อาการของโรคบาดทะยัก

บาดทะยักบนร่างกายเป็นประเภทที่พบได้สูงที่สุด กล้ามเนื้ออาจจะตึง และมีการชักเกร็งอย่างเจ็บข้างใน 7 ตอนหลังจากได้รับบาดเจ็บปวด หรือร่างกายได้รับเชื้อจุลินทรีย์ อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับเชื้อโดยส่วนมากจะเป็นกราม คอ ไหล่ ข้างหลัง ช่องท้องส่วนบน แขนและต้นขา กล้ามเนื้อเค้าหน้าหดตัวนำมาซึ่งการทำให้หน้าย่น บางคนที่มีลักษณะอาการชักกระตุกของกล้ามเนื้ออย่างเร่าร้อนจะสัมผัสเจ็บปวดทั่วตัว โรคนี้เป็นไปได้ทั้งแบบไม่ร้อนแรง (กล้ามเนื้อเป็นตะคริวและชักนิดหน่อย) แบบขนาดปานกลาง (กรามค้างและกลืนอาหารได้ยากลำบาก) หรือแบบเร่าร้อน (ชักอย่างร้อนแรง หรือจบสิ้นขาดหายใจชั่วคดัง)

โรคบาดทะยักจำพวกเป็นในบางบริเวณ มิได้กำเนิดขึ้นทั่วร่างกาย อาการจะกำเนิดขึ้นที่กล้ามเนื้อใกล้บาดแผล

อาจมีอาการหรือสัญญาณอื่นที่มิได้เอ๋ยถึง ถ้าคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสัญญาณเหล่านี้ ควรจะปรึกษาแพทย์

เมื่อไหร่ที่ฉันควรจะจะไปโรงพยาบาล

เมื่อคุณได้รับบาดเจ็บปวด หากแผลสกปรกหรือลึก รวมทั้งเปอะดินหรือมูลสัตว์ คุณควรไปโรงพยาบาลเพื่อที่จะฉีดวัคซีนบาดทะยัก หากคุณมิได้ฉีดวัตซีนมาภายใน 5 ปี หรือการฉีดยาครั้งตอนนี้ผ่านมาช้านานแล้ว คุณยังควรไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีน หากคุณมิได้ฉีดวัคซีนบาดทะยักภายใน 10 ปี

หากคุณมีอาการหรือสัญญาณใดๆก็ตาม ตามที่บอกไปข้างต้น หรือมีข้อสงสัยและปัญหา ควรจะปรึกษาแพทย์ ร่างกายแต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน ทางที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์ว่า อะไรเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเหตุการณ์ของคุณ

ที่มาของโรคบาดทะยัก

การติดเชื้อที่บาดแผล โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแผลเปิด ที่มีสปอร์ของแบคทีเรีย (bacterial spore) จะมีผลให้เกิดโรคบาดทะยัก สปอร์จะแทรกซึมในแผลบนผิวหนัง เพิ่มอีกปริมาณอย่างเร็ว และสร้างพิษที่เกาะติดอยู่ที่เส้นใยประสาทส่วนปลาย พิษจะค่อยๆ แพร่เข้าสู่ไขสันข้างหลังและสมอง พิษจะป้องกันไม่ให้ข้อตกลงณทางเคมีจากความคิดหรือส่วนที่ใช้ในการคิดและไขสันหลังส่งไปถึงกล้ามเนื้อ กลไกลของร่างกายจะไม่ถูกทั่วไป คุณคงยุติหายใจและเสียชีวิต โรคบาดทะยักในทารกแรกกำเนิด นิยมจะมีต้นเหตุจากการติดเชื้อขณะตัดสายสะดือของทารก

การวินิจฉัยโรคบาดทะยัก

แพทย์จะตัดสินโรคบาดทะยักด้วยการตรวจสอบร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจสอบกล้ามเนื้อ และระบบประสาท แพทย์คงใช้สำลีถูรอบแผล เก็บแบบอย่าง และส่งไปห้องดำเนินการงานเพื่อจะหาเชื้อบาดทะยัก แพทย์คงให้ท่านตรวจเลือด การสำรวจโรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด ขึ้นอยู่กับอาการของเด็ก

การรักษาโรคบาดทะยัก

แพทย์จะรักษาโรคบาดทะยักด้วยการกำจัดแหล่งของพิษ ขับเคลื่อนสารพิษ ปกป้องและรักษาอาการชักของร่างกาย รวมทั้ง

ทำความสะอาดแผลทั้งสิ้น และผ่าเอาเนื้อตายออก ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อที่จะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

คุณจะได้รับการฉีดวัคซีนแก้พิษ ที่เรียกว่าวัคซีนบาดทะยักจำพวกอิมมูโนโกลบิน (tetanus immunoglobulin) เพื่อจะเคลื่อนสารพิษออก

ยาระงับประสาทไดอะซีแพม (diazepam) ช่วยควบคุมอาการชัก

ถ้าคุณกรามค้าง กลืนยากลำเค็ญ หรือกล้ามเนื้อกระตุก คุณอาจห้ามให้ขาดเลยเด็ดขาดจะต้องใช้สิ่งที่ช่วยเหลือหายใจ

ผู้ป่วยโรคบาดทะยักอาจจะเป็นยาวนานถึง 2 ถึง 3 เดือน คงใช้ตอน 4 เดือนกว่าจะหายเป็นปกติ การรักษาทางการแพทย์จะช่วยทำให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยจัดการกับบาดทะยัก

การพลิกไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองตั้งแต่นี้ต่อไป อาจช่วยให้คุณจัดการกับโรคบาดทะยักได้

ล้างบาดแผลด้วยสบู่และน้ำทันที

ปรึกษาแพทย์ ถ้าคุณได้รับบาดปวด และไม่มั่นใจว่าคุณจำเป็นมากจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนบาดทะยักมั๊ย

ปรึกษาแพทย์หากกล้ามเนื้อชักกระตุก กลืนหรือขาดหายใจยากลำบาก

ให้ลูกฉีดวัคซีนเริ่มตั้งแต่อายุ 2 เดือนจวบจนกระทั่งจะครบ ผู้ใหญ่ควรจะฉีดวัคซีนกระตุ้น ถ้าเคยฉีดวัคซีนมาแล้ว 10 ปี

ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายประสมไปด้วยอะไรบ้าง และมีกลไกการทำงานเช่นไร

ระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็คือ กลไกทางชีวรูปของร่างกายเจือไปด้วยอวัยวะหลายส่วนซึ่งทำหน้าที่ป้องกัน ต่อสู้ กำจัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ดังเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเพื่อจะให้ระบบภูมิคุ้มค่ากันทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะจำเป็นต้องหมั่นชมแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่เหมาะสม นอนหลับให้พอเพียง เพื่อจะให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรค

องค์ประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันโดยเกิด (Innate Immunity) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองมนุษย์จากเหล่าสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค ประกอบด้วยอวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้

เซลล์เม็ดเลือดสว่าง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของระบบภูมิคุ้มกัน เทียบเสมือนกองกำลังซึ่งทำหน้าที่มองหาและทำลายเรื่องผิดปกติ โดยปกติ เซลล์เม็ดเลือดขาวจะไหลเวียนอยู่ภายในเลือดทั่วร่างกาย หรืออยู่ตามรอบๆเนื้อเยื่อ เซลล์เม็ดเลือดสว่างหลายๆชนิด ได้แก่ ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ทำหน้าที่ผลิตแอนดิบอดีเพื่อที่จะขจัดสิ่งแปลกปลอม (เซลล์บี หรือ B Cell) หรือทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง (เซลล์ที หรือ T Cell) ฟาโกไซต์ (Phagocyte) หรือเซลล์กลืนกิน เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่คอยปกป้องร่างกายด้วยการกลืนกินสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตราย

ต่อมน้ำเหลือง เป็นต่อมขนาดเล็กมีประมาณ 600 ต่อมอยู่บริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เช่น คอ รักแร้ หน้าท้อง หน้าอก ขาหนีบ มีเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มค่ากัน คัดกรองและทำลายเชื้อโรคที่ผ่านเข้ามาอยู่ภายในน้ำเหลือง

ม้าม เป็นอวัยวะภาพทรงคล้ายเม็ดถั่ว เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตและกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดสว่างของร่างกาย นอกจากนี้นี้ ม้ามยังมีหน้าที่กรองและทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงเก่าหรือได้รับความย่ำแย่

ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid) ต่อมทอนซิลจะอยู่รอบๆปาก โพรงจมูก และโคนลิ้น ส่วนต่อมอะดีนอยด์จะอยู่ด้านข้างหลังโพรงจมูก ทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายทางจมูกหรือช่องปาก เพื่อที่จะคุ้มครองการติดเชื้อบริเวณลำคอหรือปอด

ต่อมไทมัส อยู่บริเวณหน้าอก เป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดสว่างประเภทลิมโฟไซต์จำพวกเซลล์ที

ไขกระชมก เป็นเนื้อเยื่อภายในกระชมก เป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดสว่าง เหมือนกันกับม้ามและต่อมไทมัส

ผิวหนัง อวัยวะอยู่ลำดับชั้นนอกสุดซึ่งห่อหุ้มร่างกายและนับเป็นปราการด่านแรกสำหรับการดักหยิบสิ่งแปลกปลอม โดยการสร้างโปรตีนเฉพาะเจาะจงและเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคบางชนิดผ่านเข้าสู่ร่างกายได้

ลักษณะการทำงานของระบบภูมิคุ้มค่ากัน

เมื่อร่างกายรับรู้สิ่งแปลกปลอมที่มีสารก่อภูมิต้านทานหรือแอนติเจน (Antigen) เซลล์บี ซึ่งเป็นลิมโฟไซต์แบบหนึ่ง จะผลิตโปรตีนที่เรียกว่าแอนติบอดีขึ้นมา และความทรงจำสิ่งแปลกปลอมนั้น ๆ ข้างหลังจากนั้นเซลล์ทีหรือลิมโฟไซต์อีกจำพวก จะรับบทบาทกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเซลล์ที่ติดเชื้อ โดยบางที ลิมโฟไซต์คงจะจัดการงานคู่กับฟาโกไซต์

ในเรื่องที่ร่างกายป่วยเป็นโรคเพียงหนึ่งครั้ง ได้แก่ อีสุกอีใส เป็นเพราะว่าร่างกายมีแอนติบอดีของเชื้อซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรคนั้นอยู่แล้ว เมื่อระบบภูมิคุ้มค่ากันตรวจสอบเจอเชื้อโรค ก็จะรีบทำลายเชื้อโรคทันทีก่อนที่จะจะกำเนิดอาการของโรคนั้นอีกครั้ง

เคล็ดลับชมแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

ระบบภูมิคุ้มค่ากันของร่างกายมีจังหวะอ่อนแอลงได้จากโรคภัยหรือการไม่ดูแลรักษาสุขรูป นำมาซึ่งการทำให้ป่วยไข้บ่อยครั้งด้วยเหตุว่าร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะจัดการและจัดแจงกับเชื้อโรคได้ เพื่อจะปกป้องระบบภูมิคุ้มค่ากันอ่อนแอ อาจจะเอาอย่างคำเสนอแนะต่อไปนี้

รับประทานอาหารที่เพิ่มเติมความแข็งให้ระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ ผัก ผลไม้ ด้วยเหตุว่ามีสารอาหารที่มีประโยชน์ทั้งวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน สังกะสี และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีจำนวนน้ำตาลสูง เนื่องจากว่าการรับน้ำตาลไปสู่ร่างกายปริมาณมาก สามารถนำมาซึ่งการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เต็มสมรรถนะ หากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในช่วงเวลานั้นอาจส่งผลให้ปวดป่วยได้

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มช่วยให้ระบบภูมิคุ้มค่ากันปฏิบัติงานเป็นปกติ เพราะเวลานอนหลับ ร่างกายจะซ่อมแซมและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกทั้งยังช่วยลดเรื่องที่ไม่คาดฝันต่อการเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวาน เนื่องด้วยการนอนหลับจะช่วยลดความเครียดและรักษาดีกรีความดันให้เป็นธรรมดา ผู้ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ควรนอนอย่างต่ำ 7 ชั่วโมงต่อวัน

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายจัดการงานเป็นปกติ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน โดยใน 1 วัน ควรออกกำลังกายขั้นต่ำ 30 นาที นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังคงช่วยช่วยให้หลับสะดวก นำมาซึ่งการทำให้ร่างกายพักผ่อนได้พอเพียง

สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หนึ่งในโรคซึ่งมีผลเสียระบบภูมิคุ้มกันโดยตรงคือเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) สามารถแพร่กระจายผ่านเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อณ เวลามีเพศสัมพันธ์ได้

จัดแจงความเครียด การมีความเครียดอย่างสม่ำเสมอจะมีผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งนำมาซึ่งการทำให้ระบบภูมิคุ้มค่ากันอ่อนแอลง อาจสามารถจัดแจงความเครียดได้หลากหลายแนวทาง เป็นต้นว่า ออกไปเดินเล่น ทำหัวใจให้ปลอดโปร่ง นั่งสมาธิ ปฏิบัติงานอดิเรก เล่นกีฬา รับฟังเพลง เจรจาระบายความในใจกับเพื่อจะนฝูง

 

bhopalmovie